วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติน้องจีโน่





ชื่อจริง ด.ช.ชญานิน เต่าวิเศษ



ชื่อเล่น จีโน่



เกิดวันที่ 19 กันยายน 2548



อายุ3ขวบ4เดือน



ศึกษาชั้น อนุบาล1 Year1 โรงเรียนสารสาสน์พิทยา จ.กรุงเทพ



นิสัยส่วนตัว สนุกสนาน ร่าเริง อัธยาศัยดี



งานอดิเรก เล่นรถบังคับ เครื่องบินบังคับ เล่นเกมส์



อาหารจานโปรด ข้าวผัด



ขนมที่ชอบกิน ปูไทย ไอติม



เข้าวงการ จาก การถ่ายโฆษณา



กาตูนย์ที่ชื่นชอบ ทอมแอนด์เจอร์รี่



ผลงาน



1.ละครสังข์ทอง รับบท พระสังข์(ตอนเด็ก) ช่อง7

2.ละคร ปมรักรอยอดีต รับบท ลูกชิ้น(น้องพี่ขวัญ อุษามณี) ช่อง7

3.ออกรายการ วันวารยังหวานอยู่ ช่อง7

4.ออกรายการ 07โชว์ ช่อง7

5.ออกรายการ 7สีคอนเสิร์ต ช่อง7



และผลงานอื่นๆ



ข้อความสั้นๆ น้องจีโน่ เป็น ญาติ หรือ ลูกพี่ลูกน้อง กับ น้าแอน จริยา มิตรชัย



น้องจีโน่ จะค่อนข้าง ติด น้าแอนด้วย ตอนเด็กๆจะติดมาก แต่ตอนโตจะไม่ค่อยติดแล้ว เพราะว่า ไม่ค่อยได้เจอกัน

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สมุนไพรรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากสิว


สมุนไพรรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากสิว


สิวเป็นโรคเรื้อรัง พบบ่อยมากเป็นอันดับต้นๆ ของปัญหาโรคผิวหนัง มักเป็นในวัยรุ่น แต่บางครั้งเลยวัยรุ่นไปแล้วก็อาจเป็นได้ ลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นสิวคือ เป็นเม็ดสิวอุดตันที่เรียกกันว่า คอมมิโดน ถ้าเป็นเม็ดนูนเล็กๆ ไม่มีรูเปิดเรียก สิวหัวขาว ถ้ามีรูเปิดที่ผิวหนังมองเห็นเป็นจุดดำอยู่ตรงกลางเรียกสิวหัวดำ นอกจากนี้อาจเกิดเป็นตุ่มนูนเล็กๆ แดงๆ อาจเห็นเป็นตุ่มหนอง ,หรือตุ่มนูนแข็งเม็ดโต หรือตุ่มแดงอักเสบแบบถุงซีสต์ที่เรียกกันว่า สิวหัวช้าง สิวที่สร้างความวิตกมากคือ สิวบริเวณใบหน้า ซึ่งเป็นบริเวณที่พบบ่อย ในบางรายอาจเกิดบริเวณ คอ , หลัง, อก, สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ฮอร์โมนเพศ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ต่อมไขมันโตเต็มที่ผลิตน้ำมันมากขึ้น ท่อของต่อมไขมันหนาตัวมีการอุดตัน น้ำมันระบายออกไม่ได้คั่งค้างอยู่ภายใน เชื้อแบคทีเรียที่อยู่บริเวณนี้แบ่งตัวเพิ่มขึ้น ย่อยสลายไขมันทำให้เกิดความระคายเคือง และท่อต่อมไขมันแตกออก กรดไขมันออกสู่บริเวณข้างเคียงเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น ความรุนแรงของสิวแต่ละคนแตกต่างกันไป บางรายเป็นมากบางรายเป็นน้อย สิวอักเสบอาจกำเริบได้ในช่วงมีความเครียด เช่น อดนอน หรือในผู้หญิงช่วงใกล้มีประจำเดือน นอกจากนี้การบีบแกะสิว จะกระทบกระเทือนและนำเชื้อโรคเกิดการอักเสบมากขึ้น และมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นเมื่อสิวหายแล้ว
สิวแบ่งเป็น 2 ชนิด
1.สิวไม่อักเสบ เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน (COMEDONE) แบ่งเป็น 2 ชนิด
1.1 สิวหัวปิด เห็นเป็นตุ่มเล็ก ๆ หัวขาว ๆ
1.2 สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ
2.สิวอักเสบ คือสิวที่หัวแดง ๆ หรือ เป็นหนอง พวกนี้ก็คือ (COMEDONE) ที่มีการติดเชื้อ(BACTERIA) แทรกซ้อน
ดังนั้น ถ้าเป็นสิวอักเสบ การทำความสะอาด ใบหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ และการป้องกันไม่ให้มีการอุดตันที่รูขุมขน
(COMEDONE) โดยการใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในตอนกลางวัน ก็พอจะช่วยให้สิวลดลงหรือป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดขึ้น
แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบ คงต้องปรึกษาแพทย์ เพราะต้องใช้ปฏิชีวนะ (กินหรือทาแล้วแต่ความรุนแรงของสิว)
สิวอักเสบควรจะต้องรีบรักษา ถ้าไปแกะหรือบีบหนองออก จะเป็นรอยแผลเป็น บุ๋มตลอดไป รักษายากมาก
การนอนดึกทำให้สิวเพิ่มขึ้น ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิวอักเสบ อาจเป็นเพราะ
1.ร่างกายอ่อนแอ เชื้อ Becteria ในสิวทำให้มีการอักเสบมากขึ้น
2.Hormone เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะใน ผู้หญิง ตัวอย่างเช่น บางคนประจำเดือน หรือขณะตั้งครรภ์
จะมีสิวเพิ่มขึ้น

สมุนไพรที่ใช้รักษาสิวได้แก่
ว่านหางจรเข้ล้างหน้าเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ใช้วุ้นจากใบสดทาบริเวณที่มีอาการ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปล่อยให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออก
ข้อควรระวัง ต้องล้างยางสีเหลืองจากขอบใบออกให้หมดก่อนใช้ เนื่องจากมีฤทธิ์ระคายเคืองมาก อาจทำให้เกิดการแพ้ สำหรับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย อาจทดลองทาวุ้นบริเวณท้องแขนดูก่อน หากมีผื่นแดงหรือคันไม่ควรใช้ทาหน้า
เปลือกมังคุดบดผง 100%

"มังคุด"ผลไม้ที่ถูกยกย่องให้เป็น ราชินีของผลไม้ แต่นอกเหนือจากความอร่อยของเนื้อในมังคุดแล้ว เปลือกของมังคุดนั้น คนไทยเรายังได้รู้จักนำเอาเปลือกไปใช้ประโยชน์เป็นยารักษาโรคมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาเปลือกมังคุดมาใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง สรรพคุณที่โดดเด่นของเปลือกมังคุดที่เรารู้จักใช้กันมานานคือการใช้เปลือกมังคุดในการรักษาโรคผิว สิวต่างๆ บรรเทาอาการผดผื่น โดยใช้เปลือกมังคุดแห้งมาต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการ และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้เอง เปลือกมังคุดจึงถูกดึงมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น สบู่ที่ช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง สบู่รักษาสิวฝ้า ซึ่งเป็นที่นิยม

จริงๆแล้วเปลือกมังคุดได้รับการพิสูจน์และยืนยัน จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ค้นพบว่า รสฝาดในเปลือกมังคุดมีสารที่เรียกว่า แทนนิน(tannin)ซึ่งมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแซนโทน(Xanthon)ช่วยยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังได้ และสารที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า แมงโกสติน (Mangostin) มีฤทธืช่วยลดการอักเสบ และต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง

ผลวิจัยจะพบว่าเปลือกมังคุด เปลือกทับทิม มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก มีคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระที่เหมาะสมมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ และพบว่าเปลือกมังคุดประกอบด้วยสารธรรมชาติ GM-1 ซึ่งมี คุณสมบัติเด่น 4 ประการ คือ
1. ระงับการเจริญของเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุสิว
2. ต้านการอักเสบ
3. ต้านอนุมูลอิสระ
4. ช่วยสมานผิว กระชับรูขุมขน

วิธีใช้ ใช้ ผสมน้ำเปล่าเท่านั้นอย่าให้ข้นหรือใสเกินไป พอกหน้าจนแห้งแล้วล้างออก หรือแต้มหัวสิวหนอง ยุบทันใจใน1-2วัน




-บัวบกบดผง100%

ผลจากงานวิจัยสกัดสารต้านสิว ในบัวบกมีกลุ่มสารสำคัญจำพวกไตรเทอร์ปีน และกลัยโคไซด์ของไตรเทอร์ปีน ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีผลการวิจัยรองรับมาก มาย ทั้งการศึกษาในสัตว์ ทดลองและในคน โดยพบว่าสารในบัวบกมีฤทธิ์ในการรักษาแผลกระตุ้น การสร้าง collagen เร่งขบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ จึงช่วยเร่งให้แผลหายเร็วขึ้น และมีประโยชน์ในการรักษาแผลเป็นและ keloid โดยสามารถลดการเกิดfibrosis จึงช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นได้

สารสกัดบัวบกยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอาการแพ้ จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหรืออักเสบ เนื่องจากแมลงกัดต่อย และลดอาการข้ออักเสบในคนไข้ได้อีกด้วย จากผลการทดลองใช้ครีมบัวบกทาแผลอักเสบหลังผ่าตัด พบว่าช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ สารสกัดน้ำบัวบกมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S.aureus และเชื้ออื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดหนองได้ โดยผลต่อการเรียนรู้สารสกัดน้ำของบัวบก ขนาด 200 มก./กก. สามารถทำให้การเรียนรู้และความจำของหนูทดลองดีขึ้น ทั้งยังพบว่าสารสกัดบัวบกช่วยเพิ่มความสามารถ ในการเรียนรู้ของหนูที่มีอาการอัลไซเมอร์ได้

จากการวิจัยของ รศ.ดร.วันดี กฤษณพันธ์ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าบัวบกชนิดก้านขาว ให้สารสกัดน้อยกว่าบัวบก ชนิดก้านแดง โดยบัวบกทั้งสองชนิด ประกอบด้วยสารสำคัญ asiaticoside และสารอื่นๆ ไม่แตกต่างกัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ศึกษาวิจัยการ นำสารสกัดบัวบกมาผลิต เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายชนิด

โดยพบว่าผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัดบัวบก ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยในการสมานผิว ป้องกันรอยแผลเป็น ช่วยลดความหยาบกร้านของผิว และลดการสะสมของแบคทีเรียได้อย่างดี บัวบกที่มีฤิทธิ์ฆ่าเชื้อ เมื่อใช้แต้มหัวสิว จากการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง พบว่าทำให้สิวแห้งและหายเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

วิธีใช้ นำมาผสมน้ำสะอาด พอกหน้าแห้งแล้วล้างออก




-ทนาคา100%

ทนาคา" พาสวยด้วยสมุนไพรสืบตำนานโบราณ... เน้นงามแบบผิวพม่าฯ
ถ้าเป็นสมุนไพรไทยที่เกี่ยวกับผิวพรรณละก็ต้องนี่เลย "ขมิ้นชัน" แต่ถ้าเป็นสมุนไพรเคล็ดลับผิวสวยของพม่าก็ต้อง "ทนาคา" หรือ "กระแจะ" ไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่เวลานี้ถูกนำมาเป็นส่วนผสม ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายหลาก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า "ไม้ทนาคา" นั้น พม่าใช้ฝนกับหินผสมกับน้ำ ใช้ประทินผิวมาแต่โบราณ จนมีสำนวนเปรียบเทียบว่า "ผิวพม่านัยน์ตาแขก"ผิวสาวพม่าส่วนใหญ่จึงสวย เนียน และผิวค่อนข้างละเอียด เนื้อไม้ทนาคา ซึ่งเป็นสมุนไพรที่พบได้มาก จากทางฝั่งพม่า เมื่อตากแห้งสนิทและนำมาบดผงแล้วสามารถนำมาผสมทำครีมพอกหน้าได้อย่างวิเศษ สามารถผสม
*น้ำผึ้ง(สำหรับคนผิวแห้ง)
*น้ำมะขามเปียก(สำหรับผิวที่ด่างดำ)
*ขมิ้นชัน(สำหรับผิวที่มีสิว)
*นมสดรสจืด(สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มเนียน)
*โยเกิร์ต (สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มและใส)
เมื่อบดผสมจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็จะได้ครีมสำหรับพอกหน้าที่มีเนื้อสัมผัสไม่ถึงกับละเอียดนัก ทั้งนี้ เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกเผยผิวใหม่ เนื้อครีมอุดมไปด้วยสมุนไพร ที่มีสรรพคุณช่วยประทินผิว มีกลิ่นหอมสมุนไพรธรรมชาติ (ไม่แต่งกลิ่น) และไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อผิว"

วิธีใช้ เพียงนำครีมผสมให้ข้น(ผสมครั้งต่อครั้ง ห้ามผสมทิ้งไว้) มาพอกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แห้งแล้วใช้มือขัดออก ทำทุกวันก่อนอาบน้ำ แค่สัปดาห์เดียวจะรู้สึกว่าผิวหน้า ที่แห้งหยาบกร้าน กลับมาชุ่มชื้นมีน้ำมีนวล และดูเนียนขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ส่วนริ้วรอยจากฝ้า หรือกระ ที่มีอยู่จะค่อยๆ จางลง
*นี่คือภูมิปัญญาจากสมุนไพรพื้นบ้าน ที่สามารถแต่งเติม ความงามได้ไม่แพ้ครีมของนอก หรืออีกนัย ถ้าคุณได้ลองอาจจะดีกว่าของนอก ถูกกับผิวชาวเอเชียอย่างเรามากกว่าด้วยซ้ำค่ะ*
ข้อมูล ความมหัศจรรย์ของทนาคา จากไทยรัฐ ฉบับวันที่ 21มค.48 หน้า7




-โคลน100%

ลีกลงไปในใต้พื้นพิภพปฐพี ลี้ลับด้วยทะเลสาบใต้ดินที่แท้คือสายน้ำแร่อันทรงคุณค่าที่มนุษย์ค้นหา และพบว่าตะกอนโคลนที่ปนเปื้อนมากับน้ำใต้พิภพนั้นช่วยสร้างสรรค์ผิวพรรณให้ผุดผ่อง และช่วยการหมุนเวียนของโลหิตให้ชีวิตสดใสใครเลยจะรู้ว่า ทั้งปฐพีมีแหล่งโคลนเช่นนี้อยู่เพียงสามแห่งเท่านั้นในโลก และหนึ่งในสามแหล่งนั้น นั่นคือ ภูโคลน แหล่งโคลนสุขภาพของเมืองไทย...ภูโคลน จ.แม่ฮ่องสอน

จากแหล่งโคลนสุขภาพของเมืองไทย ภูโคลน สู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามจากธรรมชาติสำหรับคุณ ภูโคลนคือแหล่งน้ำแร่และโคลนธรรมชาติ ที่มาจากสายน้ำแร่ใต้พื้นดินที่มีความร้อนตั้งแต่ 60-140 องศาเซลเซียส เป็นโคลนเดือดบริสุทธิ์สีดำที่ขึ้นมาพร้อมกับสายน้ำแร่ธรรมชาติที่สะอาดไม่มีกลิ่นของกำมะถันซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหนัง และระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์

คุณสมบัติ
โคลนสุขภาพ ใช้เพื่อผิวพรรณที่สะอาดใส เนียนนุ่ม
โดยมีคุณสมบัติสามารถดูดซับความมันส่วนเกินและสิ่งสกปรก
ที่ติดตามรูขุมขนอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด สิว สิวเสี้ยน และริ้วรอยหมองคล้ำ
อีกทั้งส่วนผสมของแร่ธาตุที่สำคัญยังเป็นอาหารบำรุงเซลล์ผิว
และช่วยกระตุ้นให้เซลส์ผิวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อหน้าไม่มันปัญ

รายละเอียด คำแนะนำและวิธีใช้
โคลนสุขภาพ เพื่อผิวพรรณสะอาดใส เนียนนุ่มและคงความชุ่มชื้นของสภาพผิวสู่สมดุลธรรมชาติ และยังสามารถดูดซับความมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกที่ติดตามรูขุมขนอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวเสี้ยนและสิวอักเสบต่างๆ และริ้วรอยหมองคล้ำอีกทั้งส่วนผสมของแร่ธาตุที่สำคัญยังเป็นอาหารบำรุงเซลส์ผิวและช่วยกระตุ้นเซลส์ผิวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

โคลนสุขภาพ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100%ไม่มีส่วนผสมหรือแต่งเติมสารสังเคราะห์ของสารเคมีใดๆ จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว

วิธีใช้
1. เตรียมส่วนผสมโคลน ลาโบเต้ 1 ช้อนชา เตรียมโยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่มีผลไม้เจือปน 2 - 3 ช้อนชา นำโคลน ลาโบเต้ ผสมกับโยเกิตคนให้เข้ากัน (อาจใช้สมุนไพรไทย นำผึ้ง มะนาว หรือผักผลไม้ ปั่นเช่น แครอท ว่านหางจระเข้ ,แตงกวา )
2. ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วนำโคลน ที่ผสมไว้ทาให้ทั่วบริเวณใบหน้าทิ้งไว้ให้แห้งนานประมาณ 15 – 20 นาที
3. ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
**สำหรับผิวแห้งควรใช้เฉพาะโยเกิตพอกหน้าอีกครั้งทิ้งไว้นานประมาณ 10 –15นาที
4.ล้างออกด้วยน้ำสะอาดเช็ดให้แห้งเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดควรใช้น้ำแร่ธรรมชาติ ลาโบเต้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับสภาพความสมดุลของผิว

คำแนะนำการใช้

ผิวหน้าที่มีสภาพมันควรใช้ผลิตภัณฑ์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
ผิวหน้าที่มีสภาพปกติควรใช้ผลิตภัณฑ์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ผิวหน้าที่มีสภาพแห้งควรใช้ผลิตภัณฑ์ 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง



-ว่านนางคำ100%ว่านนางคำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Curcuma amada (aromatica) หัวว่านมีสีเหลืองเข้ม กลิ่นหอม เป็นสมุนไพรตัวหนึ่งของต้นตำรับความงามโบราณ มีเรื่องเล่ากันว่า "พระนางคลีโอพัตรา" ใช้ว่านนางคำเป็นตัวช่วยประทินผิวให้งดงามอยู่ตลอดเวลา ในหัวว่านนางคำมีสาร curcumin และวิตามินหลายชนิด ช่วยบำรุงผิว ป้องกันเม็ดผดผื่น ช่วยทำสะอาดผิวกาย ลดรอยตกกระและจุดด่างดำ เนียนนุ่ม รักษาผดผื่นคัน และรักษาอาการคันจากการแพ้ตามร่างกายรักษาผิวพรรณให้ดูผุดผ่องสวยงามดี รักษาโรคผิวหนัง

วิธีใช้ สำหรับผิวหน้าและผิวกาย ใช้ขัดและพอกผิวโดยผสมกับน้ำ หรือถ้าจะให้ได้ผลดี ควรผสมกับนม หรือโยเกิร์ต กับน้ำผึ้ง จะช่วยทำให้ผิวนุ่มเนียน สวยยิ่งขึ้น

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

กระเจี๊ยบแดง


1 กระเจี๊ยบแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa L. วงศ์ Malvaceae
ชื่อสามัญ Rosella, Red Sorrel, Jamaica Sorrel
ชื่อท้องถิ่น ภาคเหนือเรียก ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง เงี้ยว แม่ฮ่องสอนเรียก ส้มปู จังหวัดตากเรียก ส้มตะแลงเครง ภาคกลางเรียก กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว ทั่วไปเรียก กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดง มีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอล
น้ำกระเจี๊ยบแดง เป็นยากัดเสมหะ ช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันเลือด ลดความหนืดของเลือด ป้องกันต่อมลูกหมากโต แก้อาการขัดเบา และสามารถลดไขมันในเลือด

ลักษณะทั่วไป
กระเจี๊ยบแดง เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ ๑.๕-๓ เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบสลับ มีหลายแบบด้วยกัน บ้างมีขอบใบเรียบ บ้างมีรอยหยักเว้า ๓ หยัก ดอกเส้นผ่าศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตร ดอกมีสีครีม ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของกลีบ กลีบดอกร่วงโรยไป เหลือกลีบเลี้ยงอวบพองคงอยู่ ใบกระเจี๊ยบแดงมีรสเปรี้ยว กินได้ทั้งดิบและสุก ใส่ในแกงเผ็ดเพื่อแต่งรสได้ ใบอ่อนและยอด ใช้แต่งรสเปรี้ยว ใส่ต้มหรือแกง ชาวมอญใช้ใบกระเจี๊ยบแดงทำแกงกระเจี๊ยบ กลีบเลี้ยงสีแดงใช้ทำเครื่องดื่ม มีวิตามินเอสูง พบทั้งในประเทศไทยและแถบประเทศเม็กซิโก กลีบเลี้ยงมีเพ็กตินสูง ใช้ทำแยมและประกอบอาหาร เบเกอรี่ได้ดี

กระเจี๊ยบแดง (Jamaica sorrel, Sorrel, Roselle) Hibiscus sabdariffa Linn.
กระเจี๊ยบแดงมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศซูดาน ทวีปแอฟริกา ในตลาดโลกกระเจี๊ยบแดงที่มีคุณภาพดี มาจากประเทศซูดานและประเทศไทย แต่กระเจี๊ยบแดงทั้ง 2 ประเทศมีความแตกต่างกันมาก สำหรับประเทศไทยแหล่งปลูกที่สำคัญอยู่ที่จังหวัดสระบุรี ลพบุรี อุตรดิตถ์ และกาญจนบุรี ลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ล้มลุก สูง 1-2 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีสีแดงอมม่วง ใบ มีหลายลักษณะ มักแยกเป็นแฉก เว้าลึก 3 แฉกหรือเรียบ ปลายใบแหลม มีขน หูใบรูปยาวแคบ มีก้านใบยาว ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกดอกตามซอกใบ ดอกสีเหลืองอ่อนหรือสีชมพูอ่อน โคนกลีบแดง มี 8-12 กลีบ ผล เป็นรูปรีปลายแหลม มีจงอยสั้นๆ มีขนหยาบสีเหลืองคลุม หุ้มไว้ด้วยกลีบเลี้ยงและริ้วประดับ ซึ่งมีลักษณะอวบน้ำสีแดงเป็นส่วนที่นำมารับประทาน เมล็ด สีดำรูปไต

ลักษณะทางพฤษศาสตร์
กระเจี๊ยบเป็นพืชล้มลุกปีเดียว ลำต้นสูง 1 - 2 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบออกสลับกัน ก้านใบยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ตัวใบรีแหลม อาจมีรอยเว้าลึก แบ่งตัวใบออกเป็น3แฉก ดอกมีสีชมพูอมแดง หลังจากดอกแก่เต็มที่แล้วกลีบเลี้ยงจะติดกับเป็นสีแดงอมม่วง เนื้อหนากรอบหักง่าย ห่อหุ้มเมล็ดสีดำ เมล็ดมีจำนวนมาก กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชเศรษฐกิจตัวหนึ่งที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมให้ประชาชนปลูก มีตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ประเทศเยอรมัน สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ปลูกโดยใช้เมล็ดควรปลูกในช่วงปลายฤดูฝน

ประโยชน์จากส่วนต่างๆ ของกระเจี๊ยบแดง
ส่วนที่ใช้เป็นยา กลีบเลี้ยงและกลีบรองดอก
ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวใช้เวลา 4 เดือนถึง 4 เดือนครึ่ง
รสใบ - มีรสเปรี้ยว แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอให้ลงสู่ทวารหนัก ดอก - แก้โรคนิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด กัดเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก
ผล - ลดไขมันในเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะ
เมล็ด - รสเมา บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด
นอกจากนี้ ได้บ่งสรรพคุณโดยไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใด ดังนี้คือ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในสำไส้ ลดไขมันในเลือด บำรุงโลหิต ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน นอกจากใช้เดี่ยวๆ แล้วยังใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นใช้ถ่ายพยาธิตัวจี๊ด

สรรพคุณทางยา
การใช้งานในประเทศไทยกล่าวว่า น้ำกระเจี๊ยบเป็นยากัดเสมหะ รสเปรี้ยวของดอกกระเจี๊ยบทำให้ชุ่มคอ ช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันเลือด (อาจเนื่องมาจากฤทธิ์ขับปัสสาวะ) ลดความหนืดของเลือด ป้องกันต่อมลูกหมากโต แก้อาการขัดเบา และสามารถลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
ส่วนผลอ่อนต้มกินติดต่อกัน ๕-๘ วัน ช่วยขับพยาธิตัวจี๊ด ผลแห้งป่นเป็นผง กินครั้งละ ๑ ช้อนโต๊ะ ดื่มน้ำตามวันละ ๓-๔ ครั้ง ช่วยรักษาโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ เมล็ดบดเพื่อเป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ และยาบำรุง น้ำต้มดอกแห้งมีกรดผลไม้และ AHA หลายชนิดในปริมาณสูง ปัจจุบันมีคนนำเข้าเนื้อครีมหน้าใสเป็นสินค้าโอท็อปชื่อดังไปแล้ว

ประโยชน์ด้านอื่นๆของกระเจี๊ยบ
กระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณทางยา หลายอย่าง เช่น เมล็ด แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ฆ่าพยาธิตัวจี๊ด ใบและผล ทำยาแก้ไอ กัดเสมหะ ขับเมือก ขับมันในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก เป็นยาระบายอ่อนๆ ขับปัสสาวะ ช่วยให้ปัสสาวะใสและคล่องขึ้น ช่วยลดความดันเลือด แก้อาการกระหายน้ำ เปลือกกระเจี๊ยบแดงมีเส้นใยเหนียวและแข็งแรงมาก ดีกว่าใยปอแก้ว และปอกระเจาเสียอีก ใช้ทำเชือก ทอกระสอบ ทำเปล ถักแห ถักอวนได้ดี

สารเคมี : สารเคมีที่สำคัญใน ดอก พบ Protocatechuic acid. hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossypetin
สารที่พบ
กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบมีสาร anthocyanin ทำให้มีสีม่วงแดง 1% เช่น cyanidine, delphinidin และสารอื่น ๆ เช่น hibisin, hibicetin และกรดอินทรีย์ ประมาณ 27.44% ของน้ำหนักแห้ง เช่น กรดทาร์ทาริค (tartaric acid) กรดพัลมิติก ( palmitic acid) กรดสเตียริก (stearic acid) กรดมาลิก (malic acid) กรดซิตริก ( citric acid) กรดไฮดรอกซีซิตริก ( hydroxycitric acid) และสารเมือกเพคติน ( pectin) และแร่ธาตุอื่น ๆ โดยเฉพาะใบและยอดอ่อนมีวิตามินเอ ( vitamin A) แคลเซียม ฟอสฟอรัส ในปริมาณสูง
สารอาหารที่มีประโยชน์
Protocatechuic acid. Hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossympetin.
คุณค่าด้านอาหาร
น้ำกระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “ส้มพอเหมาะ” ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
น้ำกระเจี๊ยบแดงที่ได้สีแดงเข้ม สาร Anthocyanin นำไปแต่งสีอาหารตามต้องการ
วิธีและปริมาณที่ใช้
โดยนำเอากลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา? (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบาและอาการอื่นๆจะหายไป
ข้อควรระวัง
กระเจี๊ยบแดงอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ในผู้ป่วยบางราย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

การปลูก
กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชไวแสง สามารถปลูกได้ทั่วไป ชอบอากาศร้อนหรือค่อนข้างร้อน ทนต่อความแห้งแล้ง พันธุ์ที่ใช้ คือพันธุ์ซูดานหรือพันธุ์เกษตร มีกลีบเลี้ยงหนา สีแดงเข้มจนถึงม่วง ส่วนใหญ่เกษตรกรปลูกเป็นอาชีพเสริม หลังการทำนาหรือปลูกข้าวโพดซึ่งเป็นอาชีพหลัก การปลูกทำได้ 2 อย่าง คือ ปลูกเป็นพืชเดี่ยว หรือปลูกแซมในแปลงปลูกข้าวโพด ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่และความสะดวกในการจัดการ
การปลูกเป็นพืชเดี่ยว เตรียมดินทำเช่นเดียวกับการปลูกพืชไร่ทั่วไป ปลูกโดยใช้วิธีหยอดตามแถวที่ไถไว้ หยอดหลุมละประมาณ 4-5 เมล็ด แล้วกลบดินเล็กน้อย เมื่อเป็นต้นอ่อนถอนให้เหลือหลุมละ2-3 ต้น เพื่อไม่ให้แน่นมาก หรือใช้วิธีหว่าน เป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว แต่การเจริญเติบโตไม่สม่ำเสมอ ไม่เป็นระเบียบ ยากต่อการดูแลจัดการ ส่วนการปลูกในพื้นที่แปลงข้าวโพด ไม่ต้องเตรียมดิน สามารถปลูกหลังจากปลูกข้าวโพดประมาณ 1 เดือน เกษตรกรจะนำเมล็ดกระเจี๊ยบแดงผสมลงไปกับปุ๋ยที่จะให้ข้าวโพด หยอดตามช่องว่างระหว่างแถวข้าวโพด ต้นกระเจี๊ยบแดงจะเจริญเติบโตอยู่ระหว่างแถวข้าวโพด เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดแล้ว กระเจี๊ยบจะอยู่ในช่วงออกดอกพอดี
ฤดูปลูกเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน กระเจี๊ยบเป็นพืชที่ไม่ต้องการการดูแลมาก การเก็บเกี่ยว ในกรณีที่ปลูกเป็นพืชเดี่ยว เริ่มเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ส่วนการปลูกแซมในแปลงข้าวโพด เก็บเกี่ยวหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้วประมาณ 1 เดือน

การเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ทำได้ 2 วิธี
1. เก็บเกี่ยวเฉพาะดอกกระเจี๊ยบแดง โดยใช้กรรไกรหรือมีดตัดเฉพาะดอกที่แก่ แล้วใส่ในภาชนะที่มีวัสดุรอง เพื่อป้องกันไม่ให้ดอกช้ำ แล้วจึงขนย้ายออกจากแปลง
2. เก็บเกี่ยวทั้งต้น โดยใช้เคียวเกี่ยวกิ่งที่มีดอกบริเวณโคนกิ่ง วิธีนี้จะเก็บเกี่ยวได้รวดเร็ว แต่ดอกอาจหลุดร่วงระหว่างขนย้าย นำดอกกระเจี๊ยบแดงที่ได้ไปแทงเมล็ด โดยใช้แท่งโลหะกลวงปลายหยัก แทงบริเวณขั้วดอกให้ฝักหุ้มเมล็ดหลุดจากกลีบเลี้ยง ควรทำให้เสร็จภายใน 48 ชั่วโมงหลังเก็บเกี่ยว แล้วนำไปตากแดด 4-7 วัน จนแห้งสนิท จากนั้นจึงบรรจุในกระสอบป่าน ประมาณ 18-20 กก./กระสอบ จึงนำไปจำหน่าย ไม่ควรเก็บไว้นานกว่า 2 เดือน เนื่องจากน้ำหนักอาจลดลง หรือเกิดเชื้อราได้